กระดาษ อาจดูเหมือนวัสดุธรรมดาที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่รู้ไหมว่ากระดาษมีหลากหลายประเภท และแต่ละชนิดก็เหมาะกับงานที่แตกต่างกันไปอย่างมาก วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักโลกของกระดาษอย่างละเอียด ตั้งแต่ประเภท คุณสมบัติ ขนาด ไปจนถึงการเลือกใช้งานจริง เพื่อให้คุณเลือกกระดาษได้ตรงกับความต้องการแบบมั่นใจ!
รู้จักความหมาย และความสำคัญของกระดาษ
ความหมายของกระดาษ
กระดาษเป็นวัสดุแผ่นบางที่ทำจากเส้นใยของพืช เช่น เยื่อไม้ ฟาง หญ้า หรือแม้แต่เศษผ้า ผ่านกระบวนการอัดรีดและทำให้แห้ง โดยไม่ต้องใช้สารเคมีเป็นตัวประสาน กระดาษจึงเป็นวัสดุที่มีความเป็นธรรมชาติสูง และมีการใช้งานหลากหลาย ทั้งการเขียน การพิมพ์หนังสือ และการห่อของในชีวิตประจำวัน
ความสำคัญของกระดาษ
แม้ในยุคดิจิทัลที่หลายอย่างเปลี่ยนไป กระดาษยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ทั้งในชีวิตประจำวันและในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น
- การใช้งานหลัก : กระดาษยังคงเป็นสื่อกลางที่ดีที่สุดสำหรับการจดบันทึกและพิมพ์เอกสาร ซึ่งไม่มีวัสดุใดมาแทนที่ได้อย่างสมบูรณ์
- อุตสาหกรรมและบรรจุภัณฑ์ : กระดาษมีบทบาทในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อย่างมาก เช่น กล่องสินค้า ถุงกระดาษ ซึ่งตอบสนองตลาดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
- ความยั่งยืน : เมื่อเทียบกับวัสดุพลาสติกหรือโลหะ กระดาษถือเป็นวัสดุที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถรีไซเคิลได้
- เศรษฐกิจและการค้า : อุตสาหกรรมกระดาษมีส่วนสำคัญในเศรษฐกิจหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่มีการส่งออกกระดาษและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก
- นวัตกรรมการใช้งาน : นอกจากการเขียนและพิมพ์ กระดาษยังถูกนำมาใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ เช่น กระดาษชำระ กระดาษห่ออาหาร หรือแม้แต่เก้าอี้กระดาษสำหรับงานอีเวนต์ที่ต้องการความเบาและความสร้างสรรค์
แล้ว “กระดาษเรียกเป็นอะไรได้บ้าง?”
ในงานพิมพ์ กระดาษอาจถูกเรียกตามเนื้อสัมผัส (เช่น อาร์ตมัน , อาร์ตด้าน) ตามสี (ฟอกขาว , สีน้ำตาล) หรือเรียกตามการใช้งานเฉพาะ (กระดาษพิมพ์โบรชัวร์ , กระดาษกล่องบรรจุภัณฑ์) เพื่อให้เหมาะกับลักษณะของงานและความต้องการเฉพาะทาง
ประเภทของกระดาษ แต่ละชนิดเหมาะกับงานแบบไหน?
1. กระดาษอาร์ตการ์ด
- ลักษณะ : เนื้อแน่น ผิวเรียบเนียน มีทั้งแบบมันเงา (Art Glossy) และแบบผิวด้าน (Art Matt) พื้นผิวกระจายหมึกได้ดี
- การใช้งาน : เหมาะกับงานพิมพ์ที่เน้นความสวยงามของภาพ สีสันสดใส เช่น โปสเตอร์ , โบรชัวร์ , ปกหนังสือ , แผ่นพับโฆษณา
- ข้อจำกัด
- ผิวมันอาจทำให้เกิดแสงสะท้อนในที่สว่างมาก
- ไม่เหมาะสำหรับงานที่ต้องเขียนด้วยปากกา เพราะหมึกอาจไม่ซึมติดดี
2. กระดาษปอนด์
- ลักษณะ : เนื้อกระดาษสีขาวธรรมชาติ ไม่เคลือบผิว พื้นผิวดูด้าน
- การใช้งาน : เหมาะสำหรับเอกสารทั่วไป สมุดโน้ต แบบฟอร์ม หรือใบเสร็จ
- ข้อจำกัด
- คุณภาพการพิมพ์สีจะไม่สดใสเท่ากระดาษอาร์ต
- มีแนวโน้มเหลืองกรอบเมื่อเก็บไว้นาน
3. กระดาษกล่องแป้ง (Boxboard / Duplex Board)
- ลักษณะ : กระดาษที่มีโครงสร้างหลายชั้น ชั้นบนเป็นกระดาษฟอกขาวเรียบเนียน ส่วนชั้นล่างเป็นเนื้อกระดาษรีไซเคิลที่หยาบกว่า สีเทาหรือสีน้ำตาล
- การใช้งาน : เหมาะสำหรับผลิตกล่องสินค้า เช่น กล่องขนม , กล่องสบู่ , กล่องรองเท้า , กล่องเวชภัณฑ์
- ข้อจำกัด
- ชั้นหลังของกระดาษไม่สวยงามเท่าด้านหน้า หากไม่ได้พิมพ์หรือเคลือบ อาจดูไม่หรูหรา
- ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานต่อแรงกระแทกมากๆ (เทียบกับกระดาษลูกฟูก)
4. กระดาษฟอยล์ (Foil Paper)
- ลักษณะ : กระดาษที่มีการเคลือบผิวด้วยฟอยล์โลหะบางๆ เช่น สีเงิน , สีทอง หรือสีพิเศษ เพื่อเพิ่มความแวววาวและหรูหรา
- การใช้งาน : เหมาะสำหรับการ์ดเชิญ , บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง, ป้ายโฆษณาพรีเมียม , ปกหนังสือหรู
- ข้อจำกัด
- ราคาสูงกว่ากระดาษทั่วไป
- ผิวฟอยล์อาจหลุดร่อนหากไม่ได้รับการเคลือบป้องกันอย่างดี
5. กระดาษจั่วปัง (Greyboard)
- ลักษณะ : กระดาษเนื้อแข็งหนา สีเทาเข้มหรือสีเทาอ่อน ผลิตจากเส้นใยรีไซเคิลอัดแน่น นิยมมีความหนาตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรขึ้นไป
- การใช้งาน : ใช้เป็นโครงสร้างภายในของปกหนังสือแข็ง , กล่องของขวัญหรู , กล่องนาฬิกา , กล่องพรีเมียม
- ข้อจำกัด
- ผิวกระดาษหยาบ ต้องปิดด้วยวัสดุอื่น (เช่น กระดาษอาร์ต , หนังเทียม) เพื่อความสวยงาม
- น้ำหนักมากกว่ากระดาษทั่วไป จึงไม่เหมาะกับงานที่ต้องขนย้ายบ่อย ๆ
6. กระดาษถนอมสายตา
- ลักษณะ : สีขาวนวล หรือเหลืองอ่อน พื้นผิวด้าน ซึมซับหมึกได้ดี ไม่สะท้อนแสง
- การใช้งาน : เหมาะกับหนังสืออ่านนาน ๆ เช่น นิยาย, หนังสือวิชาการ, เอกสารสำหรับเด็ก
- ข้อจำกัด
- สีของเนื้อกระดาษอาจทำให้ภาพกราฟิกดูหม่นลง
7. กระดาษฟอกขาว
- ลักษณะ : สีขาวสว่างมาก เนื้อแน่น พื้นผิวเรียบ
- การใช้งาน : ใช้กับนิตยสาร หนังสือที่ต้องการเน้นความหรูหรา งานโฆษณาที่ต้องการความพรีเมียม
- ข้อจำกัด
- ราคาสูงกว่ากระดาษทั่วไป
- ความขาวอาจสะท้อนแสงจนทำให้อ่านนาน ๆ แล้วล้า
8. กระดาษเหนียว หรือ กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper)
- ลักษณะ : สีสีน้ำตาล เนื้อเหนียว แข็งแรง ฉีกขาดยาก มีลายเส้นไฟเบอร์ธรรมชาติ
- การใช้งาน : ถุงกระดาษ , ซองไปรษณีย์ , บรรจุภัณฑ์สินค้าออร์แกนิก , งาน DIY
- ข้อจำกัด
- พื้นผิวหยาบ พิมพ์งานละเอียดหรือสีสดได้ยาก
- สีเนื้อกระดาษอาจกลบสีพิมพ์บางส่วน
9. กระดาษลูกฟูก (Corrugated Paper)
- ลักษณะ : โครงสร้างหลายชั้น มีลอนลูกฟูกตรงกลางเพื่อเพิ่มความแข็งแรง
- การใช้งาน : ทำกล่องลัง , บรรจุภัณฑ์ขนส่งสินค้า , กล่องพัสดุ
- ข้อจำกัด
- น้ำหนักมากกว่ากระดาษทั่วไป
- การพิมพ์บนผิวลูกฟูกต้องใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อให้ได้ภาพคมชัด
10. กระดาษปรู๊ฟ
- ลักษณะ : บางเบา สีขาวอมเหลือง เนื้อหยาบเล็กน้อย ราคาถูกที่สุดในกลุ่มกระดาษพิมพ์
- การใช้งาน : ใช้กับหนังสือพิมพ์ แผ่นพับแจกฟรี หรือสิ่งพิมพ์ชั่วคราวที่ไม่เน้นการเก็บรักษา
- ข้อจำกัด
- ฉีกขาดง่าย
- คุณภาพงานพิมพ์ต่ำ สีไม่สด
11. กระดาษพีวีซี (PVC Paper)
- ลักษณะ : ผิวเรียบ เหนียว ทนต่อการฉีกขาด กันน้ำ ทนสภาพอากาศได้ดี
- การใช้งาน : นามบัตร , ป้ายโฆษณากลางแจ้ง , ป้ายติดสินค้าแบบกันน้ำ
- ข้อจำกัด
- ราคาสูงกว่ากระดาษทั่วไป
- ต้องใช้หมึกพิเศษในการพิมพ์ เช่น หมึก UV หรือหมึกพิมพ์ซับลิเมชัน

คุณสมบัติของกระดาษที่ควรเข้าใจก่อนเลือกใช้งาน
การเลือกกระดาษที่เหมาะสมกับงานพิมพ์ไม่ใช่แค่เลือกตามราคา หรือความสวยงามภายนอกเท่านั้น แต่ “คุณสมบัติพื้นฐาน” ของกระดาษแต่ละชนิดมีผลโดยตรงต่อ คุณภาพงานพิมพ์ , ประสบการณ์ใช้งาน และ ภาพลักษณ์ของแบรนด์
มาดูกันว่า คุณสมบัติเหล่านี้มีผลยังไง และควรสังเกตอะไรบ้าง
1. ความหนา (Caliper)
- คืออะไร : ความหนาของแผ่นกระดาษ ซึ่งวัดเป็นหน่วยไมครอน (µm) หรือมิลลิเมตร (mm)
- ทำไมถึงสำคัญ : ความหนาส่งผลต่อ “ความรู้สึกสัมผัส” และ “รูปลักษณ์ของงาน” เช่น โปสเตอร์ที่บางเกินไปอาจพับยับง่าย หรือกล่องสินค้าที่บางเกินไปอาจดูไม่แข็งแรง
- ตัวอย่าง
- นามบัตรทั่วไปควรใช้กระดาษหนาประมาณ 0.25–0.3 มิลลิเมตร
- โปสเตอร์ติดผนังควรเลือกกระดาษหนากว่า 200 แกรม เพื่อไม่ให้โค้งงอ
- ข้อควรระวัง : กระดาษที่หนาเกินไป อาจทำให้เครื่องพิมพ์บางรุ่นป้อนกระดาษไม่สะดวก
2. น้ำหนักกระดาษ (Gram หรือ GSM)
- คืออะไร: ค่าน้ำหนักกระดาษต่อตารางเมตร (g/m²) ทั่วไปมักใช้คำว่า “แกรม” เรียกแทน
- ทำไมถึงสำคัญ : น้ำหนักมาก = กระดาษหนาและแข็งแรงมากขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยน้ำหนักตัวงานที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้นด้วย
- ตัวอย่าง
- เอกสารทั่วไปใช้กระดาษ 70-80 แกรม
- แผ่นพับหรือโบรชัวร์ใช้กระดาษ 128-157 แกรม
- กล่องบรรจุภัณฑ์พรีเมียมใช้กระดาษ 250 แกรมขึ้นไป
- ข้อควรระวัง : น้ำหนักที่สูงเกินไปอาจทำให้ต้นทุนรวมเพิ่มโดยไม่จำเป็น เช่น หนังสือที่หนักจนอ่านลำบาก
3. ความฟู (Bulk)
- คืออะไร : ปริมาณ “อากาศ” ที่อยู่ในเนื้อกระดาษ เทียบกับน้ำหนัก กระดาษฟูมาก = หนาแต่เบา
- ทำไมถึงสำคัญ : ความฟูช่วยให้งานพิมพ์ดูหนา หรูหรา โดยไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากนัก
- ตัวอย่าง
- หนังสือนิยายหรูบางเล่มใช้กระดาษฟูเพื่อให้เล่มดูหนา แต่ยังเบา
- แคตตาล็อกขนาดเล็ก ต้องการกระดาษฟูเพื่อความรู้สึกพรีเมียม
- ข้อควรระวัง : กระดาษฟูเกินไป อาจดูไม่แน่น ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น กล่องสินค้า
4. ความสว่าง (Brightness)
- คืออะไร : ความสามารถของกระดาษในการสะท้อนแสงสีฟ้า วัดเป็นเปอร์เซ็นต์
- ทำไมถึงสำคัญ : ความสว่างสูงทำให้สีงานพิมพ์ดูสด ชัดเจน และดึงดูดสายตา
- ตัวอย่าง
- โบรชัวร์โฆษณาควรใช้กระดาษที่มีความสว่าง 90% ขึ้นไป
- หนังสือเด็กควรเลือกกระดาษสีขาวสดใส เพื่อให้รูปภาพโดดเด่น
- ข้อควรระวัง : ความสว่างสูงมากในงานพิมพ์หนังสืออาจทำให้ผู้อ่านล้าสายตา หากอ่านในที่มีแสงจ้า
5. โทนสี (Shade)
- คืออะไร : สีพื้นฐานของเนื้อกระดาษ เช่น ขาวนวล, ครีมนวล, เทาอ่อน
- ทำไมถึงสำคัญ : โทนสีส่งผลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของผู้อ่าน รวมถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์
- ตัวอย่าง
- นิยายรักนิยมใช้กระดาษสีขาวนวล อ่านสบายตา
- หนังสือออกแบบหรือโฆษณาเลือกกระดาษขาวสว่างเพื่อขับสีพิมพ์ให้โดดเด่น
- ข้อควรระวัง : โทนสีที่ผิดจากคอนเซ็ปต์งาน อาจทำให้แบรนด์ดูไม่สอดคล้องกัน
6. ความทึบแสง (Opacity)
- คืออะไร : ความสามารถของกระดาษในการป้องกันการมองทะลุจากอีกฝั่ง
- ทำไมถึงสำคัญ : ช่วยให้การพิมพ์สองหน้าไม่เห็นตัวหนังสือทะลุซ้อนกัน
- ตัวอย่าง
- หนังสือหรือนิตยสารควรใช้กระดาษที่มีความทึบแสงสูงกว่า 80%
- ข้อควรระวัง : กระดาษบางที่ทึบแสงต่ำ จะทำให้หน้าหลังรบกวนการอ่าน
7. ความแกร่ง (Tensile Strength)
- คืออะไร : ความทนทานต่อการฉีกขาดหรือแรงดึง
- ทำไมถึงสำคัญ : งานที่ต้องสัมผัสบ่อย เช่น ถุงกระดาษ กล่องขนส่ง จำเป็นต้องเลือกกระดาษที่มีความแกร่งสูง
- ตัวอย่าง
- ถุงช้อปปิ้งแบรนด์หรูนิยมใช้กระดาษคราฟท์ที่มีความแกร่งสูง
- ข้อควรระวัง : กระดาษบางประเภทที่ดูหนา แต่ขาดความแกร่งจริง อาจฉีกขาดง่ายกว่าที่คิด
8. ผิวหน้ากระดาษ (Surface)
- คืออะไร : ความเรียบหรือความหยาบของผิวสัมผัสกระดาษ
- ทำไมถึงสำคัญ : ส่งผลต่อการกระจายหมึก ความคมชัด และความสวยงามของงานพิมพ์
- ตัวอย่าง
- งานพิมพ์กราฟิกควรใช้กระดาษผิวเรียบมัน
- หนังสือหรูบางเล่มเลือกใช้กระดาษผิวด้าน เพื่อให้ดูนุ่มนวล ละมุนตา
- ข้อควรระวัง : ผิวหน้าที่หยาบเกินไป อาจทำให้พิมพ์ภาพสีละเอียดได้ไม่ชัดเจน

ตารางเปรียบเทียบชนิดกระดาษ น้ำหนัก และการใช้งาน
ประเภทกระดาษ | น้ำหนัก (GSM) โดยประมาณ | ลักษณะเด่น | การใช้งานที่เหมาะสม |
กระดาษอาร์ตการ์ด | 190–400 แกรม | หนาแน่น ผิวเรียบด้านเดียวหรือสองด้าน | กล่องพรีเมียม, นามบัตร, ปกหนังสือ |
กระดาษปอนด์ | 70–100 แกรม | สีขาวธรรมชาติ เขียนง่าย ซึมซับหมึกดี | เอกสารทั่วไป, สมุดโน้ต, แบบฟอร์ม |
กระดาษกล่องแป้ง (Boxboard) | 230–450 แกรม | ผิวหน้าขาว ด้านหลังสีเทาหรือสีน้ำตาล | กล่องขนม, กล่องสบู่, กล่องสินค้าเบา |
กระดาษฟอยล์ (Foil Paper) | 120–250 แกรม | เคลือบฟอยล์เงาวาว สีทอง-เงิน หรูหรา | การ์ดเชิญ, บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง, ปกหนังสือ |
กระดาษจั่วปัง (Greyboard) | 800–1800 แกรม (หนา 1–3 มม.) | แข็งแรงหนามาก สีเทาเข้ม ผลิตจากรีไซเคิล | ปกหนังสือแข็ง, กล่องพรีเมียม, กล่องนาฬิกา |
กระดาษถนอมสายตา | 75–100 แกรม | สีขาวนวลหรือครีม ลดแสงสะท้อน | หนังสืออ่านนาน ๆ เช่น นิยาย, หนังสือเรียน |
กระดาษฟอกขาว | 80–120 แกรม | สีขาวสว่าง พื้นผิวเรียบ | นิตยสาร, หนังสือคุณภาพสูง, งานโฆษณา |
กระดาษเหนียว (Kraft Paper) | 125–300 แกรม | สีน้ำตาลธรรมชาติ แข็งแรง ทนฉีกขาด | ถุงกระดาษ, บรรจุภัณฑ์อาหาร, ห่อพัสดุ |
กระดาษลูกฟูก (Corrugated Paper) | 200–450 แกรม (ขึ้นกับชั้นลูกฟูก) | โครงสร้างลอนลูกฟูก ต้านแรงกระแทก | กล่องขนส่งสินค้า, กล่องลังบรรจุภัณฑ์ |
กระดาษปรู๊ฟ | 45–55 แกรม | บางเบา ราคาถูก สีขาวอมเหลือง | หนังสือพิมพ์, โบรชัวร์แจกฟรี, สิ่งพิมพ์ใช้แล้วทิ้ง |
กระดาษพีวีซี (PVC Paper) | 200–300 แกรม | กันน้ำ ทนทาน ฉีกไม่ขาดง่าย | นามบัตรกลางแจ้ง, ป้ายโฆษณากลางแจ้ง |
สรุป เข้าใจใน 1 นาที
กระดาษมีหลากหลายประเภท แต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกันทั้งเรื่องความหนา น้ำหนัก พื้นผิว ความแข็งแรง และความสว่าง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของงานพิมพ์ การเลือกกระดาษที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ทำให้งานพิมพ์ออกมาสวยงามและดูเป็นมืออาชีพ แต่ยังช่วยเพิ่มความประทับใจให้กับผู้รับงานอีกด้วย ทั้งยังช่วยควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำความเข้าใจลักษณะและข้อจำกัดของกระดาษแต่ละประเภทจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นงานพิมพ์โบรชัวร์ นามบัตร หนังสือ หรือกล่องบรรจุภัณฑ์ การเลือกกระดาษที่เหมาะสมตั้งแต่แรก จะช่วยให้งานของคุณดูดี มีคุณค่า และสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเรื่องกระดาษ (FAQ)
กระดาษสีน้ำตาลแผ่นใหญ่ เรียกว่าอะไร? ส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper)
กระดาษมีกี่ขนาดมาตรฐาน? ขนาดที่เจอบ่อย เช่น A4 (210×297 มม.) , A3 (297×420 มม.) , A5 (148×210 มม.)
ผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยกระดาษมีอะไรบ้าง? สมุดโน้ต , ถุงกระดาษ , กล่องบรรจุภัณฑ์ , โปสเตอร์ , การ์ดอวยพร และอีกมากมาย