Business

8 ขั้นตอนสำคัญ สร้างแบรนด์ครีมของตัวเอง เพิ่มมูลค่าธุรกิจให้ปัง

เรียนรู้ 8 ขั้นตอนง่ายๆ ในการสร้างแบรนด์ครีมของตัวเอง เพื่อปูทางไปสู่ความสำเร็จและมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสินค้า การศึกษาตลาด

เรียนรู้ 8 ขั้นตอนง่ายๆ ในการสร้างแบรนด์ครีมของตัวเอง เพื่อปูทางไปสู่ความสำเร็จและมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสินค้า การศึกษาตลาด การวางแผนการเงิน และการทำการตลาด รวมถึงการเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการสร้างแบรนด์ตัวเองกับการซื้อมาขายไป ครบเครื่องในบทความนี้

การสร้างแบรนด์ครีมของตัวเองกำลังเป็นกระแสที่มาแรงในยุคปัจจุบัน หลายคนใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่อาจติดปัญหาไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร วันนี้เรามี 8 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้การสร้างแบรนด์ของคุณเป็นเรื่องไม่ยากอีกต่อไป เพียงมีไอเดียดีๆ และลงมือทำตามขั้นตอน รับรองว่าคุณก็สามารถก้าวสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์ได้ไม่ยาก

บูมสุดๆ เทรนด์การสร้างแบรนด์ตัวเอง ในยุคออนไลน์มาแรง

ในยุคที่การตลาดออนไลน์เฟื่องฟู ใครๆ ก็ซื้อของผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ง่ายดายเพียงไม่กี่คลิก ทำให้หลายคนมองเห็นโอกาสทองในการสร้างแบรนด์ตัวเอง แม้จะมีทุนไม่มากเท่ายักษ์ใหญ่ แต่หากวางแผนดี เลือกโรงงานผลิตที่เชื่อถือได้ ก็สามารถสร้างยอดขายจากแบรนด์ตัวเองได้ไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะในตลาดอาหารเสริมที่กำลังบูมสุดๆ และยังมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง ทำให้มีผู้ประกอบการหน้าใหม่ผันตัวมาทำแบรนด์อาหารเสริมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เริ่มต้นทำแบรนด์ครีมของตัวเองอย่างไร ให้ปังแบบไร้ขีดจำกัด

หากคุณอยากโดดลงมาลุยในสนามนี้ ลองมาดู 5 สิ่งที่ต้องคิดให้ดีก่อนเริ่มสร้างแบรนด์ในฝัน

1. เลือกสินค้าให้โดนใจ ใช่สิ่งที่ถนัดหรือเปล่า

การเลือกสินค้าเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจในสิ่งที่คุณถนัดและมีความรู้มากที่สุด คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่คุณมีความคุ้นเคยหรือมีประสบการณ์ในการใช้งาน เพื่อให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ดีที่สุด

2. ศึกษาตลาดและคู่แข่งให้ถ่องแท้

ให้เวลาในการวิจัยตลาดและเข้าใจดีว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกนั้นมีเทรนด์อย่างไร และมีความต้องการในตลาดสูงหรือไม่ นอกจากนี้ควรศึกษาคู่แข่งเพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อน รวมถึงจุดที่คุณสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณโดดเด่นและแตกต่างจากผู้อื่น

3. วางแผนการเงิน คำนวณต้นทุน-กำไรให้รอบคอบ

กำหนดงบประมาณการลงทุนที่ชัดเจน คำนวณต้นทุนทั้งหมดที่จำเป็นตั้งแต่การผลิต การตลาด การออกแบบ จนถึงค่าจัดส่ง โดยเลือกโรงงานผลิตที่มีบริการครบวงจร เพื่อลดความยุ่งยากและคำนวณต้นทุนได้ง่ายขึ้น

4. หาโรงงานผลิตที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้

การเลือกโรงงานผลิตเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ คุณต้องการโรงงานที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานที่คุณต้องการ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถให้บริการคำปรึกษาด้านเทคนิค ตลอดจนมีระบบการควบคุมคุณภาพที่ดีเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดมีมาตรฐานที่สม่ำเสมอ

5. วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชัดเจน

หลังจากที่คุณมีทุกอย่างพร้อมแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือ การวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จัก และกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น อาทิ การออกแบบโลโก้ที่โดดเด่น การวางกลยุทธ์ในการกระจายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ที่เหมาะสมและการสร้างกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

8 ขั้นตอนสร้างแบรนด์ตัวเอง สู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ

เมื่อพร้อมลุยแล้ว ไปดู 8 สเต็ปง่ายๆ ที่จะช่วยให้การสร้างแบรนด์ตัวเองเป็นเรื่องสนุกและไม่ยากอย่างที่คิด

1. ส่งไอเดียสินค้าที่อยากทำ พร้อมระบุงบประมาณที่พร้อมลงทุน

เริ่มต้นด้วยการคิดหาสินค้าที่อยากทำเป็นของตัวเอง โดยให้สอดคล้องกับงบประมาณที่คุณมีในการลงทุน เพื่อจะได้วางแผนได้อย่างเหมาะสม

2. ปรึกษาโรงงานเพื่อช่วยเลือกสูตรที่เหมาะสมกับสินค้า

หลังจากมีไอเดียสินค้าแล้ว ขั้นต่อมาคือการร่วมปรึกษากับโรงงานผู้ผลิตที่คุณเลือกความร่วมมือ เพื่อช่วยกันพัฒนาและคัดเลือกสูตรสินค้าที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ

3. ทดสอบสูตรจนมั่นใจ ก่อนยื่นจดแจ้ง อย.

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะคุณต้องทำการทดสอบและปรับปรุงสูตรสินค้าจนกว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถยื่นจดแจ้งรับรองจาก อย. ได้อย่างราบรื่น และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าด้วย

4. ยื่นขอรับการจดแจ้ง อย. ภายใต้แบรนด์ของคุณ

เมื่อคุณมีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบและพัฒนาจนพร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการยื่นจดแจ้งรับรองจาก อย. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ และทำให้คุณสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

5. ออกแบบโลโก้ ฉลาก และแพ็กเกจจิ้งให้ปัง เตะตา

การออกแบบโลโก้ ฉลาก และบรรจุภัณฑ์ที่มีความโดดเด่น น่าสนใจ จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความน่าดึงดูดใจ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด

6.สั่งผลิตสินค้าในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการตลาด

เมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสั่งผลิตสินค้าในจำนวนที่เหมาะสม โดยต้องพิจารณาให้ดีว่าปริมาณที่สั่งผลิตนั้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อป้องกันปัญหาด้านสินค้าคงคลังล้นมือ

7.วางแผนกลยุทธ์การตลาดร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ

เพื่อให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักและสามารถขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณควรมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดช่วยวางแผนกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม ครอบคลุมทั้งการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ช่องทางการขาย และกิจกรรมส่งเสริมการขาย

8.กระจายสินค้าสู่กลุ่มเป้าหมาย และติดตามผลตอบรับ

ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำสินค้าออกวางจำหน่ายในช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและติดตามผลตอบรับจากลูกค้า เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจลูกค้าได้มากที่สุด

สร้างแบรนด์เอง หรือ ซื้อมาขายไป อะไรคุ้มกว่ากัน?

มาเปรียบเทียบกันชัดๆ ระหว่างการสร้างแบรนด์ตัวเอง กับการซื้อสินค้ามาขาย ว่าแบบไหนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร

ข้อดีของการสร้างแบรนด์ตัวเอง

  • ไม่ต้องมีโรงงานเป็นของตัวเอง สามารถใช้บริการโรงงาน OEM ในการผลิตสินค้า ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการโรงงาน
  • สินค้ามีความน่าเชื่อถือ เป็นที่จดจำ การมีแบรนด์เป็นของตัวเองช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าของคุณได้ง่ายขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การซื้อซ้ำและการแนะนำผ่านปากต่อปาก
  • ปรับแต่งรูปแบบสินค้าได้ตามใจ สามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนสูตรสินค้าหรือแพคเกจจิ้งให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ทำให้สินค้ามีความโดดเด่นและตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีกว่า
  • มีอิสระในการบริหารจัดการ มีอิสระในการตัดสินใจทุกด้านของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การตลาด หรือการจัดการการเงิน
  • มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาดูแล มีทีมงานและผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำปรึกษาในการพัฒนาสินค้า การตลาด และการจัดการแบรนด์

ข้อเสียของการสร้างแบรนด์ตัวเอง

  • ต้นทุนสูงกว่าซื้อมาขายไป ต้องลงทุนในการออกแบบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการตลาดซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าการซื้อสินค้าสำเร็จรูปมาขาย
  • ต้องลงทุนกับการออกแบบและการตลาด การสร้างแบรนด์ต้องการการลงทุนทางด้านการออกแบบและการตลาดเพื่อสร้างความตระหนักรู้และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
  • มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากกว่า ในกรณีที่สินค้าไม่ประสบความสำเร็จ คุณอาจเผชิญกับความเสี่ยงในการขาดทุนสูงกว่าการซื้อมาขายไป
  • ใช้เวลานานกว่าในการผลิตและจดแจ้ง กระบวนการผลิตและการจดแจ้งสินค้าอาจใช้เวลานาน และต้องมีการตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียด
  • ต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพและมาตรฐานเป็นพิเศษ ต้องการการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สินค้ามีมาตรฐานตามที่กำหนด

ข้อดีของการซื้อมาขายไป

  • เริ่มธุรกิจได้เร็ว ง่าย สะดวก สามารถเริ่มต้นขายสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผลิตหรือจดแจ้ง
  • ลงทุนได้ตามงบที่มี ไม่ต้องหาทุนเพิ่ม สามารถเลือกซื้อสินค้าตามงบประมาณที่มี ไม่ต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมในการผลิต
  • มีแหล่งรับสินค้าให้เลือกมากมาย มีตัวเลือกหลายแหล่งในการซื้อสินค้ามาขาย ช่วยให้คุณสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการของตลาดได้ง่ายขึ้น
  • ขายผ่านออนไลน์ได้เลย ไม่ต้องมีหน้าร้าน การขายออนไลน์ทำให้คุณสามารถเข้าถึงลูกค้าจากทุกพื้นที่ทั่วประเทศหรือแม้กระทั่งทั่วโลก ไม่จำกัดเฉพาะลูกค้าที่เดินผ่านหน้าร้าน ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและเติบโตของธุรกิจ

ข้อเสียของการซื้อมาขายไป

  • มีคู่แข่งเยอะ สินค้าไม่แตกต่างจากรายอื่น การมีสินค้าที่คล้ายกับของคู่แข่งอาจทำให้ยากต่อการแข่งขันและสร้างจุดขายที่โดดเด่น
  • สินค้ากระแสนิยมอาจขายได้ไม่นาน เสี่ยงขาดทุน ผลิตภัณฑ์ที่ตามกระแสอาจมีอายุการขายสั้น ทำให้เสี่ยงต่อการขายไม่หมดและขาดทุน
  • กำไรต่อชิ้นน้อย ปรับราคาขึ้นได้ยาก กำไรต่อหน่วยอาจน้อย เนื่องจากต้องแข่งขันกับราคาของคู่แข่ง และการปรับราคาขึ้นอาจทำให้ขายยากขึ้น

เทรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเภทครีม

เทรนด์สินค้าครีมที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

1. ครีมบำรุงผิวหน้า (Facial Moisturizer)

ครีมบำรุงผิวหน้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากทุกคนต้องการผิวหน้าที่ชุ่มชื้น เรียบเนียน และมีรูปลักษณ์ที่ดี โดยครีมบำรุงผิวหน้าแต่ละประเภทจะช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ เช่น ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวหมองคล้ำ เป็นต้น

2. ครีมลดริ้วรอย (Anti-Aging Cream)

ครีมลดริ้วรอยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่กังวลเรื่องการเกิดริ้วรอยก่อนวัย โดยครีมประเภทนี้จะช่วยลดการเกิดริ้วรอย รูขุมขน และจุดด่างดำ ให้ผิวมีความกระชับและเรียบเนียน

3. ครีมบำรุงผิวกาย (Body Moisturizer)

ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวกายเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม เพราะนอกจากจะช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและนุ่มลื่นแล้ว ยังมีหลากหลายสูตรที่เติมสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น โคคอส วิตามิน E ผงแป้ง เป็นต้น เพื่อให้ผิวเปล่งปลั่ง

4. ครีมกันแดด (Sunscreen)

ครีมกันแดดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการป้องกันผิวจากรังสี UV มากขึ้น โดยครีมกันแดดที่ดีจะช่วยปกป้องผิวจากการเสียหายจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี

5. ครีมบำรุงรอบดวงตา (Eye Cream)

ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงรอบดวงตาเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากผิวรอบดวงตามีความบอบบางและบอบช้ำมากที่สุด จึงต้องการการบำรุงเป็นพิเศษ เพื่อลดการเกิดริ้วรอย ถุงใต้ตา และรอยคล้ำ

สรุป

จาก 8 ขั้นตอนเหล่านี้ที่เราได้นำเสนอไป จะช่วยให้คุณสร้างแบรนด์ครีมของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนแน่นอน

Trending

Exit mobile version